วิธีการทำ On-page SEO คืออะไร คือการปรับเว็บไซต์เรา (Search Engine Optimization) ให้เอื้อต่อการติดอันดับ หรือให้ถูกต้องตามหลักการของ SEO เพื่อช่วยให้ Keyword ที่เราต้องการอยู่ในอันดับที่สูงขึ้น ในปัจจุบันทำได้ง่ายมากขึ้นเนื่องจากส่วนใหญ่ใช้ CMS ที่ชื่อว่า WordPress ที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย และปลั๊กอินมากมายที่ช่วยทำ SEO
การทำ Onpage SEO ได้ดังต่อไปนี้
- Good Content เว็บไซต์มีเนื้อหาที่ดี สามารถตอบสนองความต้องการ หรือตอบโจทย์ให้ผู้เยี่ยมชมได้
- Title Tag / แท็กชื่อเรื่อง Title Tag คือองค์ประกอบของภาษา HTML เมื่อเราใส่หน้าหน้าเว็บแล้วมันจะโชว์ในหน้าผลลัพธ์การค้นหาของ Google (SERPs) เป็นส่วนสำคัญของ SEO และการแชร์เว็บไปยัง Social Network ต่างๆ เนื่องจากมันจะโชว์หัวข้อ และเนื้อหาสั้นๆ จึงจะเป็นต้องเขียนให้กระชับ รัดกุม
ตัวอย่างโค้ด
<head> <title> ตัวอย่างชื่อ </title> </head>
- อย่าลืมคิดถึง Long Tail keyword
Long tail keywords คือกลุ่มคำหรือวลีที่มี keyword หลักรวมอยู่กับคำอื่นๆ ซึ่งจะช่วยสร้างความหลากหลายให้กับคีย์เวิร์ด และจะทำให้คีย์เวิร์ดเหล่านี้มีโอกาสติดอันดับสูงๆ ได้ง่ายกว่าคำหลัก เช่น การเพิ่มเติมความว่า “รีวิว” “2016” หรือ “ราคา” รวมกับคีย์เวิร์ดหลักในตอนที่เขียน Title Tag เป็นต้น อ่านเพิ่มเติม Keyword Research ขั้นตอนสำคัญในการทำ SEO - สร้าง URL ให้ Search Engines และ Users เข้าใจได้ง่าย
ควรหลีกเลี่ยง URL ที่เต็มไปด้วยอักขระที่มีแต่โปรแกรมเมอร์เท่านั้นที่อ่านเข้าใจ URL ที่ดีควรจะมีความหมายซึ่งก็หมายถึงควรจะมีคีย์เวิร์ดรวมอยู่ใน URL ด้วยจะดีมาก เพราะนอกจากจะเป็นการทำ SEO-Friendly URLs แล้วยังถือว่าเป็นการทำ User-Friendly URLs ด้วย - ใช้แท็ก <H1> ในส่วนของ Headline ของแต่ละหน้า
<H1> เป็นแท็กที่ช่วยบอกให้ Search Engine รู้ว่าเนื้อหาสำคัญของหน้านั้นคืออะไร แน่นอนว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่ควรมี keyword อยู่ด้วย - ใช้แท็ก <H2> ในส่วนของ Subheading
คล้ายๆ กับแท็ก <H1> แต่แท็ก <H2> จะช่วยบอกให้ Search Engine ทราบถึงหัวข้อสำคัญรองลงมาจาก Headline
- ให้ความสำคัญกับ Paragraph แรกของเนื้อหา
ในย่อหน้าแรกนั้นโดยเฉพาะ 160 ตัวอักษรแรกควรที่จะมีคีย์เวิร์ดหลักรวมอยู่ด้วย เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ควรจำต้องทำให้เป็นประจำสม่ำเสมอเวลาที่เขียนบทความเนื้อหาอะไรก็ตาม เนื่องจากโดยปกติถ้าหาก Google ไม่พบ Meta description แล้ว Google มักจะดึงข้อความในย่อหน้าแรกไปแสดงบนผลการค้นหา ซึ่งการมีคีย์เวิร์ดอยู่ในผลการค้นหาย่อมเป็นสิ่งที่ดี - การตั้งชื่อไฟล์รูปภาพให้มีความหมาย
ควรที่จะตั้งชื่อไฟล์ให้มีความหมายหรือมีคีย์เวิร์ดรวมอยู่ด้วย ไม่ควรใช้ชื่อไฟล์ที่ตั้งมาจากกล้อง เนื่องจากการจะให้ Google เข้าใจความหมายรูปภาพนั้น ส่วนหนึ่งอยู่ที่ชื่อไฟล์ ซึ่งจะส่งผลไปถึงผลการค้นหาบน Google Image Search ที่ดีขึ้นด้วย
- ใช้แท็ก alt ในการอธิบายภาพ
Alt แท็กเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยบอก Google ให้เข้าใจความหมายของรูปภาพได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นควรที่จะต้องใส่คีย์เวิร์ดในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน - ใช้ Internal Link เชื่อมโยงไปยังเนื้อหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในเว็บไซต์ของเรา
การทำ Internal Link นอกจากจะช่วยให้ Users ได้รับเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่กำลังอ่านอยู่แล้ว ยังช่วยให้ Search Engine เข้าถึงและเข้าใจเนื้อหาที่เชื่อมโยงกันภายในเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น
- ใช้ Outbound Links เพื่อเชื่อมโยงไปเนื้อหาภายนอกเว็บไซต์
หลายคนมักจะสนใจแต่การสร้าง Inbound Links หรือ Backlinks แต่การทำ Outbound Links เพื่อเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาที่สอดคล้องกันจะเป็นการช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาในหน้าของเราได้ดียิ่งขึ้นเช่นกัน บางบทความในต่างประเทศรายงานว่าหน้าเว็บที่มี Outbound Links มีโอกาสที่จะมีอันดับสูงกว่าหน้าเว็บที่ไม่มี Outbound Links
- เขียนบทความให้มีความยาว
มีผลสำรวจจากเว็บไซต์ต่างประเทศพบว่าเนื้อหาที่มีความยาวมักจะมีอันดับที่ดีกว่าเนื้อหาสั้นๆ ในบทความระบุว่าอันดับหนึ่งถึงสามในผลการค้นหามักจะมีความยาวประมาณ 1,900 – 2000 คำ แต่อย่างไรก็ตามให้ต้องคำนึงถึงคุณภาพของเนื้อหาด้วย ไม่ใช่เน้นที่ความยาวแต่เพียงอย่างเดียว เพราะถ้าเนื้อหาไม่มีคุณภาพแล้ว ความยาวก็ไม่ได้ช่วยอะไร
- Responsive เว็บไซต์เป็นสิ่งจำเป็น
อย่างที่ทราบกันดีว่าส่วนใหญ่แล้ว traffic ที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ในเวลานี้มากกว่า 50% มาจาก mobile device ดังนั้นหากเว็บไซต์ของเราไม่รองรับอุปกรณ์เหล่านี้ อันดับการแสดงผลบนอุปกรณ์ Mobile ก็จะต่ำลงตามอัลกอริธึมของ Google ที่จะให้ความสำคัญกับ User experience ค่อนข้างมาก
- ความเร็วของการโหลดหน้าเว็บไซต์
ปัจจัยเรื่องความเร็วในการโหลดหน้าเว็บเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ Google กล่าวเอาไว้ในเอกสารแนะนำการทำ Search Engine Optimization และการระบุไว้ในเอกสารอย่างชัดเจนเช่นนี้ทำให้กล่าวได้ว่า เรื่องความเร็วในการโหลดหน้าเว็บจะมีผลต่อการจัดอันดับผลการค้นหาอย่างแน่นอน โดยที่คะแนนความเร็วหรือ Page speed score นั้นสามารถตรวจสอบได้จาก Google Analytics หรือจะใช้เครื่องมือในการตรวจสอบที่ Google มีให้ใช้งานอย่าง Google Page Speed Test ก็ได้เช่นกัน
- เพิ่มปุ่ม Social Sharing Buttons บนหน้าเว็บ
แม้ว่าทาง Google จะออกมาบอกเองว่า Social Signals ไม่ได้มีผลต่อการจัดอันดับผลการค้นหา แต่การมีปุ่ม Share นั้นจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเห็นบทความหรือเนื้อหาของเราให้มากขึ้น รวมไปถึงจำนวน Traffic ที่จะตามมา และการมี Traffic ที่มากขึ้นนั้นถือเป็น Signal อย่างหนึ่งที่บอกถึงคุณภาพได้เช่นกัน และหากเนื้อหาที่ได้รับการ Share นั้นดีพอ ก็เป็นไปได้ที่มีเว็บไซต์อื่นสร้าง Backlink กับมาที่บทความของเราได้เช่นกัน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น